ลิเวอร์พูล ตีตั๋วผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย หรือรอบ 5 ในศึก เอฟเอ คัพ ได้สำเร็จ หลังจากที่พวกเขาเปิดรังแอนฟิลด์ ไล่ทุบ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ 3-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
โดยจะเข้าไปดวลกับ นอริช ซิตี้ ต่อไป สำหรับผลงานของ “หงศ์แดง” ในแมตช์นี้ถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะ เจอร์เก้น คล็อปป์ จัดทีมชุดแกร่งซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าเขาอยากประสบความสำเร็จในเกมฟุตบอลถ้วยเมืองผู้ดี
นอกจากนี้สาวก “เดอะ ค็อป” คงยิ้มแก้มปริกับผลงานของ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ที่หายเจ็บแล้ว และโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด เช่นเดียวกับ หลุยส์ ดิอาซ ซึ่งลงเปิดตัวพร้อมกับจัด 1 แอสซิสต์ให้ทีม
1. เอลเลียตต์, ดิอาซ ฟอร์มโดดเด่น
เกมไล่ต้อน คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ถือเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมากๆ ที่สาวก “เดอะ ค็อป” ได้เห็นผลงานของ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ และ หลุยส์ ดิอาซ ซึ่งต้องบอกเลยว่าโดดเด่นจริงๆ ที่สำคัญฟอร์มของพวกเขามีส่วนอย่างยิ่งที่จะทำให้ “หงส์แดง” กลับมาแข็งแกร่งในการลุ้นความสำเร็จในซีซั่นนี้
ในรายของ เอลเลียตต์ แฟนบอลลิเวอร์พูล ทราบกันดีว่านักเตะต้องรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บข้อเท้าหลุดตั้งแต่ช่วงต้นซีซั่นและไม่คิดว่าเขาจะกลับมาฟิตสมบูรณ์ได้เร็วขนาดนี้ แถมการล้าสนามไปนานหลายเดือนคงต้องให้เวลาในการเรียกความคุ้นเคยในการเล่นอีกหลายเกม
ฉะนั้นการที่ คล็อปป์ ส่ง เอลเลียตต์ ลงสนามในช่วงครึ่งหลังถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับสาวก “หงส์แดง” แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะเล่นได้โดดเด่นมากนักเพราะเพิ่งหายเจ็บ แต่กลายเป็นว่านักเตะลงมาสร้างความปั่นป่วนให้กับเกมรับทีมเยือน และยังยิงประตูสุดสวยได้ซะด้วย
ขณะที่ ดิอาซ ซึ่งก็เพิ่งย้ายมาช่วงก่อนเดดไลน์ตลาดพ่อค้าแข้งฤดูหนาว และได้ซ้อมกับทีมไม่กี่วัน การถูกส่งลงเล่นในช่วงเกือบครึ่งชั่วโมงสุดท้าย เป้าหมายของ คล็อปป์ ก็คืออยากให้ ดาวเตะชาวโคลอมเบีย ได้คุ้นเคยกับเกมในอังกฤษเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม นักเตะได้แสดงให้เห็นถึงทักษะและความขยันในการวิ่งไล่บี้คู่แข่ง จนสามารถสร้างโอกาสให้ ทาคูมิ มินามิโนะ กดประตูได้สำเร็จ ซึ่งเป็นการจัดแอสซิสต์แรกในการลงสนามเปิดตัว ถือว่าเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยภายใต้สีเสื้อใหม่ของนักเตะจริงๆ
การได้เห็น เอลเลียตต์ กับ ดิอาซ โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดแบบนี้ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ดีเยี่ยมสำหรับลิเวอร์พูล ในการลุ้นความสำเร็จในฤดูกาลนี้อย่างแท้จริง
2. คล็อปป์ มุ่งมั่นกับฟุตบอลถ้วยในซีซั่นนี้
นายใหญ่ชาวเยอรมัน มักจะไม่ค่อยได้ให้ความสำเร็จกับเกมฟุตบอลถ้วยในอังกฤษมากนักนับตั้งแต่ที่เขาเข้ามารับงานกุมบังเหียน ลิเวอร์พูล โดยทุกครั้งที่ “เดอะ เร้ดส์” ต้องลงแข่งศึกคาราบาว คัพ หรือ เอฟเอ คัพ เขามักจัดชุดที่ไม่ค่อยแกร่งเท่าไหร่ลงสนาม
อย่างไรก็ตามจากผลงานของเกมฟุตบอลถ้วยเมืองผู้ดีทั้ง 2 รายการในฤดูกาลนี้ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า คล็อปป์ ให้ความสำคัญมากๆ โดยเขาจัดชุดที่ดีที่สุดลงเล่น เพราะมีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการนำโทรฟี่บอลถ้วยอังกฤษ กลับไปประดับในตู้โชว์ที่แอนฟิลด์
ในเกมคาราบาว คัพ ตอนนี้ ลิเวอร์พูล เข้าไปเตรียมลงเล่นในรอบชิงชนะเลิศ เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ศึกเอฟเอ คัพ เกมล่าสุดกับ คาร์ดิฟฟ์ จะเห็นได้ว่า 11 ตัวจริงของทีม แทบจะเป็นชุดใหญ่เหมือนที่ส่งลงในเกมพรีเมียร์ลีก
คล็อปป์ ปรับเปลี่ยนแค่การจับ อลิสซง เบ็คเกอร์ และ ฟาบินโญ่ พัก เพราะทั้งคู่เพิ่งกรำศึกจากการรับใช้ทีมชาติบราซิล ส่วนตำแหน่งอื่นๆ นักเตะที่ถูกส่งลงมาก็มักจะสลับสับเปลี่ยนเล่นสนามให้ทีมชุดใหญ่เป็นประจำอยู่แล้ว
ดังนั้นนี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงแนวคิดของ คล็อปป์ อย่างชัดเจนว่าเขาต้องการที่จะประสบความสำเร็จในเกม คาราบาว คัพ และ เอฟเอ คัพ หลังจากที่ไม่เคยได้สัมผัสโทรฟี่เหล่านี้เลย นับตั้งแต่กุมบังเหียนลิเวอร์พูล
3. โชต้า พร้อมเป็นตัวหลักในแนวรุก
แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะมีแนวรุกที่จัดจ้านอยู่เต็มแดนหน้า และยังได้ ดิอาซ มาเสริมแกร่งอีกราย แต่ดูเหมือนว่า คล็อปป์ คงมีตัวเลือกหลัก 3 แนวรุกเอาไว้ในใจแล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้น ดีโอโก้ โชต้า แน่นอน
เกมนี้ หัวหอกชาวโปรตุกีส แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ยอดเยี่ยมทั้งการยิงประตู, การหาพื้นที่่ว่าง, ความขยันในการเล่น และการเชื่อมเกมร่วมกับเพื่อนร่วมทีม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นจุดเด่นของเขาอยู่แล้ว
ในแมตช์ปะทะกับ คาร์ดิฟฟ์ จะเห็นได้ว่า โชต้า มีส่วนในการเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ตลอด และสามารถขู่เกมรับคู่แข่งได้ทุกครั้งที่ครองบอล นอกจากนี้เจ้าตัวยังสร้างโอกาสในการยิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง
จังหวะการโหม่งให้ “เดอะ เร้ดส์” ขึ้นนำก็ต้องบอกเลยว่าเป็นการทำประตูที่เจ้าตัวถนัดอยู่แล้ว ขณะเดียวกันเขายังเกือบบวกสกอร์เพิ่มแต่น่าเสียดายที่ซัดบอลออกข้าง ต้องบอกเลยว่าตลอดทั้งเกม อดีตแข้งวูล์ฟส์ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาคู่ควรที่จะได้ยืนเป็นตัวหลักของทีม
ฉะนั้นเมื่อ ลิเวอร์พูล ได้ ซาดิโอ มาเน่ กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กลับมาจากการรับใช้ทีมชาติ คล็อปป์ คงมีสามประสาน เอาไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว ส่วน ฟีร์มีโน่, มินามิโนะ และ โอริกี้ ต้องรอโอกาสของพวกเขาต่อไป ส่วน ดิอาซ มีแววน่าจะได้ทำหน้าที่ในแผงมิดฟิลด์เป็นหลัก
4. ขุมกำลังพร้อมสับเปลี่ยนหมุนเวียน
ตอนนี้ต้องบอกเลยว่า ลิเวอร์พูล มีขุมกำลังที่พร้อมจะลงสนามได้ทุกคน โดยในแมตช์นี้ คล็อปป์ มีการสับเปลี่ยนตำแหน่ง 5 จุด แต่ทีมไม่ได้แสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนแม้แต่นิดเดียว
ซิมิคาส กับ “ทากิ” มีโอกาสได้ลงสนามเป็นตัวจริงถึง 1 ชั่วโมง และฟอร์มถือว่าโดดเด่นมากๆ ขณะที โกนาเต้ ได้ลงสนามเต็มเกม ส่วน นาบี เกอิต้า ที่เพิ่งกลับมาจากรับใช้ทีมชาติ ก็ได้เล่นเกือบ 60 นาที สำหรับ ฟีร์มีโน่ ได้เล่นจนจบเกม
จะเห็นได้ว่าผู้เล่นทั้ง 5 คนที่เอ่ยนาม ไม่ใช่ผู้เล่นตัวหลักที่ คล็อปป์ ใช้งานอย่างสม่ำเสมอในเกมลีก แต่พวกเขาเป็นตัวเลือกที่สามารถทำหน้าที่ทดแทนได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะบางครั้ง “หงส์แดง” จำเป็นต้องโรเตชั่นทีมเพื่อรักษาความสดของนักเตะเอาไว้
แน่นอนว่าขุมกำลังของ ลิเวอร์พูล ในช่วงเวลานี้ถือว่าสามารถลงสนามเป็นตัวหลักของทีมได้ทุกคน และนี่คือปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างมาก ในช่วงที่ทีมมีโปรแกรมแน่นเอี๊ยด เพราะการที่ “หงส์แดง” มีขุมกำลังที่เต็มไปด้วยคุณภาพแบบนี้่ เวลาที่ถูกส่งลงสนามจะไม่ทำให้ทีมขาดสมดุล
แม้ว่าเกมนี้ทีมจะขาด 2 สตาร์กาฬทวีป, อลิสซง และ ฟาบินโญ่ ที่ยังไม่ฟิตจากการรับใช้ชาติ แต่ผู้เล่นที่ลงสนามก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยม ดังนั้นตอนนี้คงจะไม่ผิดหากจะบอกว่า “เดอะ เร้ดส์” มีขุมกำลังเชิงลึกที่แข็งแกร่งจริงๆ
5. ฝันคว้า 4 แชมป์ยังเป็นไปได้
ตอนนี้เข้าสู่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ และ ลิเวอร์พูล ก็ยังคงมีโอกาสไล่ล่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลลีกเมืองผู้ดี นั่นก็คือการคว้าแชมป์ 4 รายการในซีซั่นเดียว
“หงส์แดง” มีคิวผ่านเข้าไปดวลกับ “นกขมิ้นเหลืองอ่อน” นอริช ซิตี้ ในเกมเอฟเอ คัพ รอบ 5 จากนั้นพวกเขามีลุ้นที่จะคว้าแชมป์รายการแรกประจำซีซั่นปัจจุบัน เมื่อมีคิวปะทะกับ เชลซี ในนัดชิง คาราบาว คัพ ช่วงปลายเดือนนี้
ขณะที่ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก พวกเขาจะดวลกับ “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ส่วนในเกมพรีเมียร์ลีก แม้ว่าอาจจะค่อนข้างยากลำบากอยู่บ้างเพราะตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 9 คะแนน แต่ถ้าพวกเขาเอาชนะเกมตกค้าง และแมตช์ที่จะดวลกับ “เรือใบสีฟ้า” ได้ โอกาสแซงเข้าวินก็มีมากเลยทีเดียว
ดังนั้นอาจจะไม่ใช่การเพ้อฝันเกินไปที่จะบอกว่าแฟนบอลลิเวอร์พูล มีลุ้นที่จะประสบความสำเร็จทั้ง 4 รายการในซีซั่นนี้ แม้หลายคนจะมองว่าโม้เกินไปก็ตาม แต่ทุกคนย่อมมีสิทธิ์ฝัน ส่วนจะเป็นจริงได้ไหม ขึ้นอยู่กับความคงเส้นคงวา และโชคชะตาฟ้าลิขิต
อ้างอิง
https://www.siamsport.co.th/football